เดิมพื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นดินเปรี้ยว โดยจัดเป็นสภาพ “พรุ” เก่า ดินประกอบด้วยพืชที่ทับถมลงมาเป็นเวลานานและผสมกับน้ำทะเล มีผลให้ดินเป็นดินที่มี “แร่กำมะถัน” เมื่อสัมผัสกับอากาศกลายเป็น “ออกไซด์” และเมื่อผสมกับน้ำกลายเป็น “กรดกำมะถัน” (Sulfuric acid)
เมื่อปี พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริให้ก่อสร้าง “อ่างเก็บน้ำใกล้บ้าน” ที่ ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส และ “อ่างเก็บน้ำเขาสำนัก” เพื่อเตรียมจัดตั้งศูนย์ฯ และ “หาน้ำมาเติม” จากคลองบางนารา เพื่อนำน้ำมาใช้ในกิจกรรมของศูนย์ฯ
“…ด้วยพื้นที่จำนวนมากในจังหวัดนราธิวาสเป็นที่ลุ่มต่ำ มีน้ำขังตลอดปี ดินมีคุณภาพต่ำ ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3 แสนไร่ เกษตรกรจำนวนมากไม่มีที่ทำกิน แม้เมื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่หมดแล้ว ยังยากที่จะใช้ประโยชน์ทางการเกษตรให้ได้ผล ทั้งนี้ เนื่องจากดินมีสารประกอบไพไรท์ ที่ทำให้เกิดกรดกำมะถัน เมื่อดินแห้งทำให้ดินเปรี้ยว ควรปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ดังนั้น เห็นสมควรที่จะมีการปรับปรุงพัฒนา โดยให้มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุร่วมกันแบบผสมผสาน และนำผลสำเร็จของโครงการไปเป็นแบบอย่างในการที่จะพัฒนาพื้นที่ดินพรุในโอกาสต่อไป…”
ศูนย์ฯ ดำเนินงานวิจัยทั้งหมดจำนวน 248 เรื่อง แบ่งเป็น ด้านงานพัฒนาที่ดิน วิชาการเกษตร ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง การควบคุมปราบปรามโรคติดต่อ งานชลประทาน และอื่น ๆ
เป็นแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการเร่งดินให้เป็นกรดจัดรุนแรงที่สุด โดยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกัน แล้วศึกษาวิธีการปรับปรุงดินโดยการใช้น้ำล้างดิน การใช้หินปูนฝุ่นและใช้ทั้ง 2 วิธีควบคู่กันไป สามารถปรับปรุงดินเพื่อปลูกพืชในดินเปรี้ยวจัด มีการจัดทำตำรา “คู่มือปรับปรุงดินเปรี้ยวจัด” และใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่ดินเปรี้ยวจัดทั่วประเทศ
ส่งเสริมให้มีการปลูกพันธุ์ข้าวทนเปรี้ยว นำพันธุ์ข้าวมากกว่า 1,000 สายพันธุ์มาศึกษาคัดเลือกพันธุ์ โดยพันธุ์ข้าวทนดินเปรี้ยว 10 สายพันธุ์ที่คัดเลือกออกมา ได้แก่ ลูกแดง อัลซัมดูลละห์ ข้าวเขียว ดอนทราย รวงยาว ข้าวขาว ช่อจำปา ช้องนาง ขาวน้อย และสี่รวง
การดำเนินการตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยยึดหลักบริหารจัดการดินและน้ำเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กและรู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถือเป็นแนวทางหลักในการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถดำรงชีวิตแบบ “พออยู่พอกิน” และรู้จัก “พอเพียง” โดยไม่เดือดร้อนด้วยการแบ่งพื้นที่ สำหรับที่ศูนย์แห่งนี้ ได้ทรงปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศของภาคใต้ คือ 10: 20: 30: 40 กล่าวคือ 10% เป็นที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ 20% เป็นแหล่งน้ำ 30% เป็นนาข้าวและ 40 % เป็นพืชไร่พืชสวนและทำการปรับปรุงสภาพความเป็นกรดของดินด้วยหินปูนฝุ่นตัว
การปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่พรุ เป็นการทดลองปลูกปาล์มน้ำมันในดินอินทรีย์ พบว่าสามารถขึ้นได้ดีในพื้นที่พรุ ทนสภาวะแห้งแล้งและน้ำท่วมได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น และให้ผลผลิตค่อนข้างสูง มีการจัดตั้งโรงงานสกัดและแปรรูปน้ำมันปาล์ม ในช่วงแรกใช้วิธีทอดผลปาล์มในกระทะ ใช้เครื่องหีบแรงคน ต่อมา พัฒนาเครื่องยนต์แยกผลปาล์มจากทะลาย และการทอดผลปาล์มภายใต้ระบบสุญญากาศ ทำให้ในกระบวนการผลิตไม่มีน้ำเสียรวมทั้งมีการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มเติมด้วย
• มีการปลูกพืชแซมยาง เช่น การปลูกระกำร่วมกับยางพารา เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ว่างระหว่างแถวยาง เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยาง โดยปลูกระกำหวานเมื่อปลูกยางแล้ว 4 ปี สามารถปลูกเป็นพืชร่วมกับยางได้ดี ให้ผลผลิตเมื่ออายุ 4-5 ปี ระกำหวานอายุ 10 ปีขึ้นไปจะให้ผลผลิตเฉลี่ยร้อยละ 10 กิโลกรัม สามารถเสริมรายได้ให้เกษตรกร 5,800 บาทต่อไร่ ต่อปี
• มีการใช้ประโยชน์จาก “ไม้เสม็ดขาว” ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ที่มีลักษณะพิเศษ สามารถเจริญเติบโตในพื้นที่พรุได้ดีมาก เป็นไม้ที่สามารถนำส่วนต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ลำต้นใช้ในงานก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ใบนำมากลั่นให้น้ำมันเขียว
• การพัฒนาพื้นที่พรุ ด้วยการจัดแบ่งเขตการใช้ประโยชน์พื้นที่พรุตามสภาพการใช้ดินและศักยภาพของพื้นที่ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เขตสงวน เขตอนุรักษ์ และ เขตพัฒนา โดย เขตสงวนและเขตอนุรักษ์อยู่ในความรับผิดชอบของงานป่าไม้ ส่วนเขตพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นเขตของนิคมสหกรณ์บาเจาะและนิคมสหกรณ์ปิเหล็ง เป็นพื้นที่เป้าหมายที่จะนำผลการศึกษาวิจัยไปถ่ายทอดเพื่อพัฒนาด้านการเกษตร
• ศูนย์ฯ สามารถร่วมพัฒนาหมู่บ้านรอบศูนย์ทั้งหมด 13 หมู่บ้านจำนวนประชากรประมาณ 114,258 คน พื้นที่ทั้งหมดประมาณ 23,000 ไร่ ราษฎรมีการประกอบอาชีพที่หลากหลายทั้งทำนาปลูกไม้ผลปลูกมะพร้าวปลูกพืชไร่พืชผักเลี้ยงปลาและอาชีพหัตถกรรม
ประกอบด้วย
ศูนย์สาขาที่ 1
ศูนย์สาขาที่ 2
ศูนย์สาขาที่ 3
ศูนย์สาขาที่ 4
นอกจากนี้ ยังมีการร่วมพัฒนาพื้นที่อื่น ได้แก่ พรุแฆแฆ จังหวัดปัตตานี รวมถึงการฟื้นฟูและพัฒนาการเกษตรในลุ่มน้ำบางนรา โดยปรับปรุงดิน สนับสนุนปัจจัยการผลิตบางส่วนในลักษณะกองทุนหมุนเวียนเกษตรกร ในเขต 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอตากใบ และอำเภอเจาะไอร้อง และสนับสนุนการถ่ายทอดความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาสจำนวน 100 ราย
โครงการฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งสร้างงานให้กับราษฎรในพื้นที่ ผลิตอาหารของราษฎรในจังหวัดนราธิวาส ศึกษาและพัฒนาอาชีพทางการเกษตรกรของผู้ทำงานโครงการ ฝึกอบรม สาธิต และให้ความรู้แก่ราษฎรในการประกอบอาชีพด้านการเกษตร ซึ่งมีทั้งสิ้น 9 ฟาร์ม ในอำเภอเมือง อำเภอระแงะ อำเภอสุไหงปาดี อำเภอรือเสาะ อำเภอเจาะไอร้อง และอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
“…เราเคยมาโคกอิฐ โคกใน มาดูเขาชี้ตรงนั้น ๆ เขาทำ แต่ว่าเขาได้เพียง 5 ถัง 10 ถัง แต่ตอนนี้ได้ขึ้นไปถึง 40-50 ถัง ก็ใช้ได้แล้ว ต่อไปดินก็ไม่เปรี้ยวแล้ว เพราะว่าทำให้เปรี้ยวเต็มที่แล้ว โดยที่ขุดอะไร ๆ ทำให้เปรี้ยวแล้วก็ระบาย รู้สึกว่านับวันเขาจะดีขึ้น…อันนี้สิเป็นชัยชนะที่ดีใจมากที่ใช้งานได้ แล้วชาวบ้านเขาก็ดีขึ้น แต่ก่อนชาวบ้านเขาต้องซื้อข้าว เดี๋ยวนี้เขามีข้าวอาจจะขายได้…”
พระราชดํารัส
9 ตุลาคม 2535
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ. (ก.d.). โครงการ สถาบันราชประชาสมาสัย. สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.). เมื่อ 23 เมษายน, 2565, จากhttp://km.rdpb.go.th/Project/View/8632
สถาบันวิจัย จัดการความรู้และมาตรฐานการควบคุมโรค. (2552). 16 มกราคม วันราชประชาสมาสัย สถาบันรักษาโรคเรื้อน จากพระราโชบาย ร. 9. วารสารควบคุมโรค , ปีที่ 35(ฉบับที่ 3).
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.). (2556). ดิน น้ำลม ไฟ สมดุลสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ.
©2022 Institute of Sufficiency Economy. All rights reserved.